Microsoft
บริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับสองในวอลสตรีท (รองจาก Apple) ผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่รู้จักกันในนาม Windows และชุดโปรแกรม Office มีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสสิ้นสุดเดือนธันวาคม ซึ่งตรงกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 ในวันอังคาร ที่ 25 มกราคมนี้ หลังตลาดปิด โดยการคาดการณ์ของ Zacks คาดว่ายอดขายของไตรมาสนี้จะอยู่ที่ $50.32 พันล้าน สูงกว่า $43.08 พันล้านในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โตขึ้น 16.82% ในขณะที่ผลตอบแทนต่อหุ้นคาดว่าจะอยู่ที่ $2.29 สูงกว่า $2.03 ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้น 12.81%
สำหรับรายได้แยกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่จะถึงนี้ Amy Hood ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Microsoft ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะโตขึ้นจากไตรมาสที่ 1 โดยกลุ่ม Business Processes ซึ่งนำโดย Office และซอฟแวร์อื่นๆ คาดว่าจะมีรายได้ระหว่าง $15.7 ถึง $15.95 พันล้าน เพิ่มขึ้นจาก $15.03 พันล้าน กลุ่ม Intelligent Cloud ซึ่งนำโดย Azure จะมีรายได้ระหว่าง $18.1 ถึง $18.35 พันล้าน เพิ่มขึ้นจาก $16.96 พันล้าน และกลุ่ม Personal Computing อื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย Windows, Surface และ Xbox คาดว่าจะอยู่ที่ $16.35 พันล้าน และ $16.75 พันล้าน เพิ่มขึ้นจาก $13.31 พันล้าน
ในขณะที่ก่อนรายงานผลประกอบการในสัปดาห์หน้า Microsoft ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการประกาศเข้าซื้อยักษ์ใหญ่ด้านวิดีโอเกมอย่าง Activision Blizzard ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังอย่าง Call of Duty, World of Warcraft, Diablo รวมถึง Candy Crush ในมูลค่า $68.7 พันล้าน และถือเป็นดีลที่ใหญ่สุดที่จะทำให้ Microsoft กลายเป็นบริษัทเกมใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อเทียบตามรายได้ เป็นรองเพียง Tencent และ Sony เท่านั้น และถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญในการก้าวเข้าสู่โลก Metaverse โดยการเข้าซื้อในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก Activision ประสบปัญหาการประท้วงของพนักงานในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศและการเลือกปฏิบัติกว่า 700 ครั้ง นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021
แม้มุมมองผลประกอบการจะเป็นบวก แต่ราคาหุ้นของ #Microsoft ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ได้ลดลงกว่า 10% ซึ่งเป็นการลดลงตามแนวโน้มตลาดโดยรวม โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ที่กำลังกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed อย่างไรก็ตามราคาหุ้นบริษัทกำลังลดลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ ที่เส้น MA200 ที่ 293.00 ซึ่งหากสามารถทะลุลงไปได้ จะมีแนวรับถัดไปที่โซน 280.00 ในทางกลับกัน หากรายได้บริษัทออกมาดีอาจหนุนให้ราคาหุ้นบริษัทกลับไปที่โซน 320.00 อีกครั้ง
Johnson & Johnson
บริษัทด้านการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าบริษัท $437 พันล้าน คืออีกหนึ่งบริษัทที่มีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ในวันอังคาร ที่ 25 มกราคมนี้ ก่อนตลาดเปิด โดยการคาดการณ์ของ Zacks ยอดขายคาดว่าจะอยู่ที่ $25.26 พันล้าน โตขึ้นจาก $22.48 พันล้าน ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเทียบเป็น 12.37% ขณะที่ผลตอบแทนต่อหุ้นคาดว่าจะอยู่ที่ $2.12 เพิ่มขึ้นจาก $1.86 ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้น 13.98% โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ ผลตอบแทนต่อหุ้นของ J&J สูงกว่าการคาดการณ์ของ Zacks ทุกไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2012 ขณะที่ยอดขายใน 10 ไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เพียง 2 ไตรมาส
สำหรับความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจระหว่างไตรมาสที่ 4 ของ J&J ได้แก่การเปลี่ยนตัว CEO คนใหม่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดย Joaquin Duato ขึ้นมาแทน Alex Gorsky ที่ดำรงตำแหน่ง CEO มาตั้งแต่ปี 2012 ในขณะที่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้ประกาศแผนแยก J&J ออกเป็นสองบริษัท ได้แก่บริษัทที่เน้นด้านสุขภาพของผู้บริโภค และอีกบริษัทหนึ่งเน้นทำธุรกิจเกี่ยวกับยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์
ในส่วนของการระบาดระลอกใหม่ โดยการมาถึงของสายพันธุ์โอไมคร่อนในไตรมาสที่ 4 ดูเหมือน J&J จะไม่ได้รับประโยชน์มากนัก หลังจากที่วัคซีนของ J&J ไม่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา โดยสัดส่วนการฉีดวัคซีนของ J&J มีน้อยกว่า 4% ของปริมาณทั้งหมดที่มีการฉีดในสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ Pfizer และ Moderna
สำหรับราคาหุ้นของ #Johnson&Johnson ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ลดลง 3.4% หลังจากขึ้นทำ high ที่โซน 174.00 และในวันพฤหัสบดีราคาได้ปิดต่ำกว่าเส้น MA200 ส่งผลให้แนวโน้มราคาหุ้นของบริษัทในตอนนี้ค่อนข้างเอนเอียงไปทางขาลงตามกรอบชาแนลที่เห็น ซึ่งสอดคล้องกับ MACD ที่กำลังจะตัดเส้น 0 และ RSI อยู่ที่ระดับ 37 ดังนั้นหากผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาต่ำกว่าความคาดหวังของตลาด เราอาจได้เห็นราคาหุ้นของบริษัทกลับไปที่โซน low ของไตรมาสอีกครั้ง ที่ 156.00 ในทางกลับกันหากผลประการออกมาดี ราคาหุ้นของบริษัทอาจขึ้นทดสอบ high เดิม ที่ 174.00 อีกครั้ง
คลิกเพื่อดู ปฏิทินเศรษฐกิจ หรือ สัมมนาออนไลน์ฟรี
Chayut Vachirathanakit
Market Analyst – HF Educational Office – Thailand
คำเตือน: เนื้อหานี้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสารการตลาดทั่วไป เพื่อเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น และไม่ถือเป็นการวิจัยเพื่อการลงทุนอิสระ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของการสื่อสารนี้ที่ประกอบด้วย หรือควรถูกพิจารณาว่าประกอบด้วย คำแนะนำการลงทุน หรือการชักชวนลงทุน หรือการชักชวนเพื่อวัตถุประสงค์ของการซื้อหรือขายตราสารทางการเงินใดๆ ข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และทุกข้อมูลประกอบด้วยตัวบ่งชี้ผลงานในอดีต ไม่ได้เป็นการรับประกันหรือเป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือสำหรับผลงานในอนาคต ผู้ใช้พึงทราบว่าการลงทุนใดๆ ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ Leveraged มีความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง และการลงทุนในลักษณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่สูง ซึ่งผู้ใช้ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ทางเราไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ที่เกิดจากการลงทุนโดยใช้ข้อมูลที่เกิดจากการสื่อสารนี้ การสื่อสารนี้จะต้องไม่ถูกผลิตซ้ำหรือแจกจ่ายต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเรา
